เปลวเทียนให้แสง รามคำแหงให้อะไร

ก่อนหน้านี้เราเรียนอยู่มหาลัยแบบปิด แต่ตัดสินใจลาออกเพราะเหตุผลส่วนตัวที่ค่อนข้างมีผลกับชีวิตเรามาก ๆ จนได้ตัดสินใจโอนหน่วยกิตเรียนที่ม.รามคำแหง เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย (ซึ่งข้อเสียตรงนี้ค่อนข้าง reflect กับการงานพอสมควร แต่คงเป็นเพราะจังหวะชีวิตด้วยมั้ง ไม่เป็นไร)

ปีการศึกษา 1/2568 – จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนตัวเอง

เราเข้ามาด้วยการเทียบโอนหน่วยกิต ราคาต่อหน่วยกิตอาจจะแพงกว่าหน่วยกิตตอนลงทะเบียนเรียนปกติหน่อยนึง แต่อย่างน้อยค่อนข้างให้เวลาเยอะในการจ่ายค่าโอนหน่วยกิต (1 ปีการศึกษา–2 เทอม) ถือว่าถูกอยู่ดี

รามส่วนกลาง จะตั้งอยู่ 2 ที่ คือ หัวหมาก (ราม 1) และบางนา (ราม 2) ส่วนภูมิภาคอีก 23 จังหวัด เราเรียนส่วนกลาง เพราะค่อนข้างใกล้บ้าน ส่วนใหญ่วิชาเอกเรียนที่ราม 1 ส่วนวิชาทั่วไป รหัสวิชา RAM เรียนที่ราม 2

วันแรกที่ไปเรียนราม 1 culture shock พอสมควร ต่างจากมหาลัยปิดมาก ความที่เราไปถึงคลาสก่อนเวลา ปกติคือเข้าไปนั่งรอในห้องได้เลยจนกว่าจะถึงเวลาเรียน แต่ที่ราม คาบก่อนหน้ายังสอนไม่จบ แต่เราเข้าไปนั่งรอก่อนแล้ว (ไม่มีใครว่าอะไร แค่รู้สึกว่ามันแปลกเฉย ๆ) ก็นั่งฟังอาจารย์เขาบรรยาย ถ้าจำไม่ผิดเป็นวิชาเกี่ยวกับศึกษาศาสตร์ (แต่เราเรียนอีกคณะ ฮ่าาาา)

ตั้งแต่เข้ามาเรียนราม รับผิดชอบตัวเอง 100% กับทุกอย่างในชีวิต ต่างจากที่เดิมแบบลิบลับ ไม่บังคับเข้าชั้นเรียน ไม่มีกฏระเบียบจุกจิก (เรื่องการแต่งตัว ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดนศ. แต่ต้องสุภาพ ยกเว้นช่วงสอบ จะเคร่งเรื่องการแต่งกายกว่าปกติ) เราถึงไม่เคยใส่ชุดนศ.ไปเรียนเลย ใส่แต่เสื้อยืด กางเกงขายาว เพราะขี้เกียจ แถมเป็นคนขี้ร้อนด้วย เวลาใส่เสื้อสีขาวแล้วชอบเป็นคราบเหลือง ซักไ่ม่ออกอีก เซ็งสุด ๆ

Lifestyle การใช้ชีวิตในรั้วราม

การนั่งรถไปเรียนสำหรับเราค่อนข้างสะดวก มีสองทางเลือก คือ นั่งรถไฟฟ้าสายสีเหลือง กับรถเมล์ครีมแดง ถ้าวันไหนเลือกนั่งรถเมล์เท่านั้นแหละ ต้องเผื่อเวลาในการไปเรียน แล้วแต่วันว่าจะใช้เวลากี่ชั่วโมง เพราะรามคำแหงรถติดมาก โดยเฉพาะแยกลำสาลี

ค่อนข้างอิสระในการเรียนมากพอสมควร แต่ใช่ว่าอิสระจนลืมความรับผิดชอบ เพราะถ้า manage การเรียนของตัวเองได้ไม่ดี โอกาสที่จะไม่จบมีสูงมาก เพราะออกยากอยู่แล้วอย่างที่ใครหลายคนว่า (เรานับถือคนที่เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยจากใจจริง คนเหล่านั้นค่อนข้างเก่ง มีความอดทน และแข็งแกร่ง) ส่วนเราทั้งเรียนทั้งทำงาน (Freelance) แต่ว่าง ๆ ก็จะไปสิงอยู่ห้องสมุดราม 1 กับคาเฟ่ เพราะถ้าเรียนในบ้าน สภาพแวดล้อมคือไม่ได้เลย อยากนอนอย่างเดียว

ส่วนใหญ่เราเรียนจากการฟังบรรยายใน Course on Demand กับอ่านหนังสือควบคู่ไปด้วย หาซื้อได้ที่ศูนย์หนังสือราม มีพึ่งชีทสรุปบ้าง แต่ไม่พึ่งข้อสอบชีทแดง เพราะไม่รับประกันว่าจะออกตรงทุกข้อ เลยเลือกที่จะเรียนให้ตรงจุดเลยดีกว่า บางวิชาที่เรียนจะมีแบบฝึกหัดให้ทำ แต่ไม่บังคับส่ง และแน่นอน คะแนนมาจากการสอบ 100%

เราจะได้เจอเพื่อนต่างวัย ตั้งแต่มัธยม (Pre-degree) จนถึงวัยทำงาน และเพื่อนก็ไม่ได้หายากเลย อยู่ที่ว่าเราจะหาหรือเปล่า สังเกตได้ทั้งกลุ่ม Line Openchat, FB group ที่จะหาเพื่อนไปเรียน หรือไปสอบด้วยกัน

สังคมในมอค่อนข้างสงบ ไม่วุ่นวาย แต่ต้องระวังเรื่องลัทธิให้ดี อย่างที่เขาว่ากันตั้งแต่เนิ่น ๆ พวกเขาจะแฝงตัวอยู่ในมอเสมอ เพ่นพ่านไป make friend นักศึกษาในมอไปทั่ว (เราไม่ค่อยเข้ามอ เลยยังไม่เคยเจอกับตัว แต่อย่าได้เจอเลยดีกว่า)

การลงทะเบียนเรียน สามารถลงออนไลน์ ถ้าให้เราแนะนำ ก่อนจะลงทะเบียนเรียน ดูตารางวิชาที่สอนกับวันสอบได้ใน มร.30 ของแต่ละเทอมก่อน จะได้ไม่เสียเวลาหน้างาน และอย่าลงทะเบียนวิชาที่วันและเวลาสอบชนกัน เพราะจะมีปัญหาในภายหลังได้

สอบไล่ครั้งแรก

บรรยากาศช่วงสอบในมหาลัยคึกคักเป็นพิเศษ แถมเรายังได้เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่มออื่นไม่มีให้เห็น แต่ได้เห็นที่รามแน่นอน เราขอ list เป็นข้อ ๆ จากประสบการณ์ส่วนตัว

  • นักศึกษานั่งสมาธิก่อนสอบ
  • บรรยากาศห้องอ่านหนังสือ (ไม่ใช่ห้องสมุด ห้องนี้อยู่ใต้ตึก VPB) ที่เต็มไปด้วยนักศึกษาอ่านหนังสือก่อนสอบ
  • นอกมอขายเครื่องเขียนแพงมากกกกกกกกกกกกกกก มีคนโดนไป 80 บาท (ดินสอ, ยางลบ, ปากกา, ลิควิด) ไม่รู้จะแพงไปไหน แต่อย่างน้อยก็เป็นเครื่องเตือนใจที่ลืมเอามา เลยจำเป็นต้องเสียเงิน
  • เครื่องคิดเลข CASID จากนอกมอเช่นกัน (ใช่แล้ว อ่านไม่ผิด)
  • ระหว่างอ่านหนังสือ อยู่ ๆ ก็มีบุคคลภายนอกเดินเข้ามาแจกใบปลิวรับสอนพิเศษ เรากับเพื่อนหันหน้ามอง งงไปหมด

วันที่มีสอบตอนบ่าย เราเลือกที่จะไม่ฝืนอ่านหนังสือตอนกลางคืน เพื่อให้ได้พักผ่อน แล้วไปอ่านหนังสือที่มอตอนเช้า
ข้อดีตรงนี้คือ เราเผื่อเวลาได้ค่อนข้างมากจากการเดินทาง, ตอนอ่านหนังสือจะ productive กว่าตอนกลางคืน เพราะสภาพแวดล้อมช่วย

วันแรกสอบวิชา RAM1112 – English Language and Culture ภายในห้องสอบใหญ่กว่าห้องข้าง ๆ บรรยากาศค่อนข้างกดดัน นศ.เต็มห้อง มีนาฬิกาบอกเวลาบนหน้าจอ มีอาจารย์คุมสอบประจำแถว ชวนให้นึกถึงตอนไปสอบที่ศูนย์สอบม.ธรรมศาสตร์ วิชาแรกที่สอบง่ายมากหลายข้อ มีบางข้อที่รู้สึกยาก แต่ไม่ขนาดนั้น

วันที่สองเป็นวิชาเอก ENG3301 – English Reading for Analysis
มาพร้อมกับ unseen passages เหวอมาก คำศัพท์บางคำระดับ advanced นั่งวิเคราะห์ประโยค เดาคำศัพท์จนหัวจะระเบิด ก้มคอนานจนปวด สอบเสร็จต้องฝ่ารถติดตอนช่วงเลิกงานอีก กว่าจะถึงบ้านคือเหนื่อยมาก

วันที่สาม ENG2101 – English Pronunciaction
วิชาเอกเช่นเดียวกัน เป็นวิชาเดียวที่สอบราม 2 สำหรับเราง่ายที่สุดในบรรดาวิชาเอกที่ลงเรียน (ไม่นับ RAM1112 เพราะเป็นวิชาทั่วไป และบังคับ) เพราะส่วนตัวมีพื้นฐานเรื่อง Phonetics มาพอสมควร และอาจจะลงทะเบียนวิชา Introduction to English Phonetics and Phonology ในเทอมต่อไป เพราะอยากเรียนรู้เรื่องการออกเสียงภาษาอังกฤษเพิ่มเติม

วันที่สี่ RAM1202 – Creativity Arts ระดับความยากง่าย ให้กลาง ๆ สำหรับเรายากเฉพาะบางหัวข้อย่อยที่เราไม่ถนัด ยกเว้นหัวข้อการ creatives, และดนตรี ที่รู้สึกว่าง่าย (สำหรับเรา)

วันที่ห้า เครียดมากกว่า ENG3301 มาก กับวิชา ENL3104 – Introduction to Semantics

ต้องท้าวความก่อนว่า เราเคยเรียนเรื่อง Introduction to Linguistics มาตอนปี 1 ซึ่งเป็นภาษาศาสตร์แบบ Basic ที่ไม่ได้เจาะลึกหัวข้อย่อยมากมายขนาดนั้น จนกระทั่งได้เข้ามาเรียนวิชานี้ เนื้อหาค่อนข้างเยอะ เกี่ยวกับทฤษฎี มีให้วิเคราะห์โครงสร้างต่าง ๆ เป็นวิชาที่ต้องจำเยอะมากกกกกกกกก

วันสุดท้าย RAM1301 วิชาบังคับ ง่ายที่สุดในบรรดาวิชาที่ลงทะเบียนเทอมนี้แล้วค่ะ เพราะเกี่ยวกับคุณธรรม จริยธรรม ง่ายกว่าชีทที่อ่านตอนเตรียมตัว และวิชานี้ทำให้เรารู้จักกับความเป็นมาของ ม.รามฯ มากขึ้น

จบการสอบไล่ 1/2568

การสอบไล่ของม.รามสำหรับเรา เป็นการแข่งกับตัวเองโดยปริยาย ถึงแม้ระหว่างทางจะเครียดก็ตาม แต่ก็ขอบคุณตัวเองที่อดทนและผ่านการสอบไล่ครั้งแรก รอดูต่อไปว่าจะได้ซ่อมวิชาไหนบ้าง ถ้ามีก็ไปซ่อม (หรือรีเกรด) อย่างน้อยทำให้เราได้สัมผัสบรรยากาศการสอบไล่ และนำมาปรับปรุงตัวเองในเทอมต่อไป

สรุป

ม.รามคำแหง เป็นมหาวิทยาลัยที่เปิดโอกาสให้กับนักศึกษาทุกเพศทุกวัย สอนให้เราฝึกความอดทน มีวินัย จัดระเบียบชีวิตตนเอง เรื่องการเรียนมีความสะดวก เนื้อหาการสอนดี อาจารย์ทุ่มเทกับการสอนนักศึกษา บรรยากาศร่มรื่น เป็นอิสระ และแน่นอนว่า ค่าเทอมถูกมาก (หน่วยกิตละ 25 บาท)

ดีใจที่ได้เป็นลูกพ่อขุน จะพยายามคว้าใบปริญญาให้ตัวเอง ครอบครัว และเป็นนักศึกษาที่มีคุณภาพ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตค่ะ